เป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับทุกครอบครัว เมื่อมีเจ้าตัวน้อยมาอยู่ในครอบครัว และเมื่อเวลาผ่านไป พ่อแม่ทุกคนย่อมไม่อยากให้ลูกน้อย ต้องเผชิญหน้ากับอาการอันตราย หรือโรคร้ายต่าง ๆ อย่างแน่นอน โดยเฉพาะโรคนั้นเกี่ยวข้องกับสมองของเด็ก เช่น โรคลมบ้าหมู หรือ โรคลมชักในเด็ก ที่เป็นโรคที่ส่งผลทำให้พัฒนาการล่าช้า ส่งผลกระทบในทุก ๆ ด้าน
วันนี้ Mamastory มีเรื่องที่ควรเรียนรู้ เกี่ยวกับโรคลมชักในเด็ก ที่ควรต้องทำความเข้าใจมาฝากคุณพ่อคุณแม่กันค่ะ เพราะโรคนี้เป็นหนึ่งในอันตรายต่อสมองเด็ก เพื่อรับมือได้ทันท่วงที ยิ่งเข้าใจ ยิ่งทำให้ช่วยเหลือได้ไวขึ้น !
โรคลมบ้าหมู หรือ โรคลมชักในเด็ก คืออะไร ?
โรคลมชัก หรือที่เรียกติดปากกันว่า “ลมบ้าหมู” เป็นโรคสมองในเด็กที่พบได้บ่อย เป็นหนึ่งในโรคที่ มักสร้างความกังวลใจให้กับครอบครัว เป็นอาการชักที่เกิดจากความผิดปกติของการทำงานของสมอง ดังนั้น แม้ไม่พบความผิดปกติทางกายภาพของสมองก็สามารถทำให้เกิดโรคลมชักได้
หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพ เหมือนเรามองเห็นหน้าคนคนหนึ่ง และพบว่าคนคนนั้นมีลูกตา 2 ข้างปกติ แต่เราไม่สามารถบอกได้ว่า การทำงานของสายตาของคนคนนี้เป็นอย่างไร สายตาสั้น ยาว หรือเอียงหรือไม่ เช่นเดียวกันกับสมอง ดังนั้นการไม่พบความผิดปกติจากภาพถ่ายรังสี ไม่ได้เป็นตัวบ่งถึงการทำงานผิดปกติของสมองได้ทั้งหมด
สาเหตุการเกิดโรคนี้มีได้หลายอย่าง อาจเกิดจากกรรมพันธุ์ ความผิดปกติของระบบประสาท เคยเกิดอุบัติเหตุที่กระทบกระเทือนสมอง หรือเนื้องอกในสมอง เป็นต้น โดยรูปแบบการชัก อาจมีอาการได้ดังต่อไปนี้
- ชักแบบเหม่อนิ่ง เด็กมักไม่ตอบสนองต่อการเรียก พบมากในเด็ก 5-10 ปี
- ชักแบบกระตุกแขนขาเป็นชุด ๆ พบมากในเด็ก 3 เดือน -1 ปี
- ชักแบบไม่รู้ตัว มีอาการเตือน ระหว่างชักจำอะไรไม่ได้
- ชักต่อเนื่อง อันตรายหากชักเกิน 30 นาที
สาเหตุของโรคลมชักในเด็ก
จากที่กล่าวข้างต้นว่าโรคลมชัก คือ การทำงานผิดปกติของสมอง โดยอาจพบหรือไม่พบความผิดปกติจากภาพถ่ายรังสีก็ได้ ซึ่งสามารถแจกแจงสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคลมชักได้ ดังนี้
บทความที่เกี่ยวข้อง : อาการชักในเด็ก จากอาการไข้ รับมืออย่างไรให้ลูกปลอดภัย
- ความผิดปกติของขั้นตอนการสร้างสมองตั้งแต่อยู่ในครรภ์ (congenital anomaly)
- ความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ส่งผลต่อการทำงานหรือโครงสร้างสมอง (genetic disease)
- ความผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อน ก่อนคลอด ระหว่างคลอดหรือหลังคลอด เช่น การติดเชื้อในครรภ์ การขาดออกซิเจนระหว่างคลอด เป็นต้น
- เกิดจากภูมิต้านทานของตัวเอง (autoimmune disease)
- การมีก้อนเนื้องอกในสมอง หรือเซลล์ที่เจริญเติบโตเร็วในสมองในบางกลุ่มอาการของโรคบางโรค
- การติดเชื้อในสมอง รวมถึงภาวะแทรกซ้อนที่ตามมาจากการติดเชื้อ
- ไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน
อาการของโรคลมชักในเด็ก
- อาการชักแบบเฉพาะที่ : ลักษณะอาการชักจะขึ้นอยู่กับจุดกำเนิดชักว่าอยู่ส่วนใดของสมอง เช่น ถ้าอยู่ในตำแหน่งที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ อาการชักมักจะมาด้วยอาการเกร็ง หรือกระตุก หรืออ่อนแรง หากจุดกำเนิดอยู่ที่ตำแหน่งการควบคุมความรู้สึก อาจมาด้วยอาการชา หรืออาการรับรู้มากกว่าปกติ เช่น ปวดเจ็บ หรือรู้สึกมีอะไรมาไต่ หากจุดกำเนิดอยู่ที่ตำแหน่งควบคุมการมองเห็น ก็อาจมาด้วยอาการมองเห็นที่ผิดปกติ มองเห็นแสง หรือมองไม่เห็น เป็นต้น
- อาการชักแบบทั้งตัว : เช่น เกร็ง กระตุกทั้งตัว หรือที่เราคุ้นเคยเรียกว่าลมบ้าหมู หรืออาการชักแบบเหม่อ เรียกไม่รู้ตัว เป็นต้น
ลูกชัก ต้องทำอย่างไร ?
- มีสติ ไม่ตื่นเต้น ให้ลูกนอนลงในที่โล่ง และสังเกตการชักให้ละเอียด (บันทึกภาพได้ยิ่งดี)
- จับลูกนอนตะแคง หาวัสดุหนุนศีรษะลูก คลายเสื้อผ้า และหากมีอาหารในปากให้เอาออก
- ห้ามงัดปากลูกเด็ดขาด อย่าให้คนมามุง และระวังอย่าเอาสิ่งของเข้าปากลูก
- เช็ดเศษอาหาร น้ำลาย โดยไม่ต้องพยายามงัด หรือเปิดปาก
- รอจนลูกหยุดชัก โดยส่วนมาก อาการชักจะหยุดใน 2-3 นาที เช็กว่ามีบาดแผลหรือไม่ จากนั้นรีบนำส่งโรงพยาบาล
วิธีการรักษาโรคลมชัก
- การรักษาโดยการใช้ยากันชัก : แพทย์จะเลือกการให้ยากันชักเป็นแนวทางแรกของการรักษา ปัจจุบันมียากันชักหลากหลายชนิด ซึ่งการเลือกใช้ยากันชักก็จะเลือกตามความเหมาะสมของชนิดการชัก และผลข้างเคียงของยา เป็นต้น
- การรักษาโดยวิธีอื่นที่นอกเหนือจากการใช้ยากันชัก : เช่น การผ่าตัดสมอง การใส่เครื่องกระตุ้นเส้นประสาทคู่ที่ 10 หรือการให้อาหารแบบคีโตน เป็นต้น
หากเด็กมีอาการที่ไม่แน่ใจว่าชัก หรือผู้ปกครองคิดว่าชัก ควรรีบพามาปรึกษาแพทย์ เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัย และการรักษาที่เหมาะสมโดยเร็วที่สุด เนื่องจากปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย ผู้ปกครองสามารถถ่าย VDO อาการที่ไม่แน่ใจว่าชัก หรืออาการชักมาให้แพทย์ดู เพื่อประกอบการรักษา การวินิจฉัยและการรักษาได้
นอกจากนี้ควรดูแลให้เด็กหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจเกิดอันตรายต่อชีวิตได้ หากมีอาการชักในระหว่างที่ทำกิจกรรมดังกล่าว ได้แก่ ว่ายน้ำ ปีนขึ้นที่สูง ปั่นจักรยาน เป็นต้น หากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น “โรคลมชัก” ควรให้เด็กทานยาสม่ำเสมอ ไม่หยุดยาเอง และทำตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
มาดู น้ำตาลในเลือดผิดปกติ ภาวะที่พบได้บ่อยในเด็กทารกแรกเกิด
โรคทอนซิลโตในเด็ก ปัญหาที่ห้ามละเลย หากไม่อยากให้ลูกเจ็บหนักกว่าเคย !